ERP Solutions
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยี
ที่เหมาะสมจะช่วยให้องค์กร
ตัดสินใจบนข้อมูลที่ถูกต้อง
เพื่อสร้างการเติบโต
การดำเนินธุรกิจโดยปราศจากข้อมูลเชิงลึกที่เหมาะสม เป็นความท้าทายที่ธุรกิจต้องเผชิญ การมีกลยุทธ์ที่ดี ย่อมต้องมีเทคโนโลยีที่ดีเข้ามาสนับสนุนด้วยเช่นกัน และยิ่งไปกว่านั้น คุณต้องมีที่ปรึกษามืออาชีพที่สามารถให้คำแนะนำได้ตรงจุด เพื่อสร้างการแข่งขันที่ได้เปรียบ
ด้วย Jcurve ผู้เชี่ยวชาญด้านการติดตั้งและให้คำปรึกษาโซลูชัน ERP คุณจะมองเห็นภาพรวม ของการดำเนินงานของคุณได้อย่างครบถ้วน ตั้งแต่การกำหนดปัญหา และวางแผนไปจนถึงการเลือกโซลูชัน การนำไปใช้งานและการบำรุงรักษา
ERP คืออะไร?
ERP หรือ Enterprise Resource Planning คือ ซอฟต์แวร์ในการบริหารจัดการทรัพยากรในองค์กร ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับปรุง
และจัดการกระบวนการหลักต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นด้าน supply chain การผลิต การเงิน และบริการ
ระบบ ERP ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน โดยการทำงานแบบอัตโนมัติ และผสานรวมฟังก์ชันสำคัญต่างๆ เช่น การบัญชี การจัดซื้อ การบริหารโครงการ การจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้า การบริหารความเสี่ยง การปฏิบัติตามข้อกำหนด และการดำเนินงาน supply chain ด้วยการรวมกิจกรรมเหล่านี้ไว้ ในแพลตฟอร์มเดียวที่ครบวงจร ERP ช่วยให้องค์กรสามารถตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลเชิงลึกบนพื้นฐานข้อมูลที่ถูกต้อง เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
และรักษาความสามารถในการแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ระบบ ERP ทำงานอย่างไร?
ระบบ ERP ทำงานโดยการผสานรวมฟังก์ชันหลักต่าง ๆ ของธุรกิจเข้าด้วยกันในระบบเดียวที่ครบวงจร ซึ่งช่วยให้สามารถเข้าถึงข้อมูลแบบเรียลไทม์ และปรับปรุงกระบวนการในทุกแผนกให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ต่อไปนี้คือภาพรวมของวิธีการทำงานของระบบ ERP
แบบศูนย์กลาง
สำหรับฟังก์ชันทางธุรกิจ
อัตโนมัติ
แบบเรียลไทม์
ระหว่างแผนก
และการควบคุมการเข้าถึง
และการปรับแต่ง
กับระบบภายนอก
ฐานข้อมูลแบบศูนย์กลาง
แกนหลักของ ERP: ระบบ ERP ใช้ฐานข้อมูลแบบศูนย์กลางที่จัดเก็บข้อมูลจากหลากหลายแผนก เช่น การเงิน ทรัพยากรบุคคล การขาย การจัดซื้อ สินค้าคงคลัง และอื่น ๆ
แหล่งข้อมูลเดียวที่เชื่อถือได้: ฐานข้อมูลศูนย์กลางนี้ช่วยให้ทุกแผนกสามารถเข้าถึงข้อมูลที่สอดคล้องและเป็นปัจจุบัน ลดปัญหาข้อมูลแยกส่วนและความคลาดเคลื่อนของข้อมูล
โมดูลที่ผสานรวมสำหรับฟังก์ชันทางธุรกิจ
โครงสร้างแบบโมดูล: ระบบ ERP มีโครงสร้างแบบโมดูล โดยที่แต่ละโมดูลมุ่งเน้นไปที่ฟังก์ชันเฉพาะของธุรกิจ (เช่น การบัญชี การจัดการสินค้าคงคลัง หรือ CRM) ธุรกิจสามารถเลือกและกำหนดค่าโมดูลต่าง ๆ ได้ตามความต้องการของตน
ขั้นตอนการทำงานที่เชื่อมโยงกัน: โมดูลเหล่านี้เชื่อมโยงถึงกัน ซึ่งหมายความว่าข้อมูลสามารถไหลผ่านระหว่างฟังก์ชันต่าง ๆ ได้อย่างราบรื่น ตัวอย่างเช่น การสั่งซื้อสินค้าจากการขายจะอัปเดตระดับสินค้าคงคลังโดยอัตโนมัติ และสร้างใบแจ้งหนี้ในระบบบัญชีทันที
กระบวนการอัตโนมัติ
การทำให้เป็นมาตรฐานและระบบอัตโนมัติ: ระบบ ERP ช่วยกำหนดมาตรฐานและทำให้งานที่ทำซ้ำ ๆ เป็นอัตโนมัติ เช่น การประมวลผลคำสั่งซื้อ การออกใบแจ้งหนี้ การจัดการสินค้าคงคลัง และการจ่ายเงินเดือน สิ่งนี้ช่วยลดข้อผิดพลาดที่เกิดจากมนุษย์และเพิ่มความเร็วในการทำงาน
การจัดการขั้นตอนการทำงาน: ขั้นตอนการทำงานอัตโนมัติจะนำทางงานต่างๆ ผ่านขั้นตอนที่กำหนดไว้ล่วงหน้า เพื่อให้มั่นใจว่างานจะเสร็จสมบูรณ์ ตามลำดับที่ถูกต้อง ตัวอย่างเช่น ขั้นตอนการสั่งซื้อ อาจเริ่มต้นด้วยการป้อนคำสั่งซื้อของลูกค้า จากนั้น ไปที่การตรวจสอบสินค้าคงคลัง ต่อด้วยการจัดส่ง และสุดท้ายคือการออกใบแจ้งหนี้
ข้อมูลและรายงานแบบเรียลไทม์
การอัปเดตแบบทันที: การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในส่วนหนึ่งของระบบ ERP จะสะท้อนผลไปยังโมดูลที่เกี่ยวข้องทั้งหมด แบบเรียลไทม์ ตัวอย่างเช่น เมื่อมีการจัดส่งสินค้า ระดับสินค้าคงคลังจะได้รับการปรับโดยทันที และข้อมูลการเงินจะได้รับการอัปเดตสำหรับการรายงานรายได้
การวิเคราะห์ข้อมูล: ระบบ ERP มีเครื่องมือการรายงานและการวิเคราะห์ในตัวที่ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับตัวชี้วัดประสิทธิภาพ เช่น ยอดขาย การหมุนเวียนสินค้าคงคลัง และกระแสเงินสด ข้อมูลนี้ช่วยให้ผู้ตัดสินใจเข้าใจแนวโน้ม ติดตาม KPI และตัดสินใจอย่างรอบคอบ
การทำงานร่วมกันระหว่างแผนก
การสื่อสารที่ดีขึ้น: ด้วยการรวมแผนกต่าง ๆ เข้าด้วยกันในระบบเดียว ERP ช่วยส่งเสริมการทำงานร่วมกันที่ดีขึ้น สมาชิกทีมจากฟังก์ชันต่าง ๆ สามารถเข้าถึงข้อมูลที่พวกเขาต้องการได้ง่าย และสามารถประสานงานกับแผนกอื่นได้อย่างราบรื่น
การมองเห็นข้อมูลที่ชัดเจนยิ่งขึ้น: ผู้จัดการและพนักงานสามารถมองเห็นกิจกรรมระหว่างแผนกได้ ทำให้ง่ายต่อการร่วมมือในโครงการต่าง ๆ ติดตามคำสั่งซื้อ และกำหนดเป้าหมายให้สอดคล้องกัน
ความปลอดภัยของข้อมูลและการควบคุมการเข้าถึง
การเข้าถึงตามบทบาท: ระบบ ERP มีการควบคุมการเข้าถึงตามบทบาทหน้าที่ (Role-Based Access Control) ทำให้มั่นใจว่าพนักงานสามารถ เข้าถึงเฉพาะข้อมูล ที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่การทำงานของตนเท่านั้น
ความสมบูรณ์และความปลอดภัยของข้อมูล: ข้อมูลที่สำคัญจะได้รับการปกป้อง ด้วยการเข้ารหัสข้อมูล การยืนยันตัวตนของผู้ใช้งาน และความสามารถในการตรวจสอบ เพื่อให้มั่นใจว่าเป็นไปตามข้อกำหนดด้านการคุ้มครองข้อมูล
การขยายระบบและการปรับแต่ง
ความยืดหยุ่นและปรับขนาดได้: ระบบ ERP ถูกออกแบบมาเพื่อปรับขยายตามการเติบโตของธุรกิจ ช่วยให้สามารถเพิ่มผู้ใช้งาน โมดูล หรือฟีเจอร์ใหม่ ๆ ได้ตามความต้องการของบริษัทที่เพิ่มขึ้น
ตัวเลือกการปรับแต่ง: โซลูชัน ERP สามารถปรับแต่งให้เหมาะกับความต้องการเฉพาะของกระบวนการทำงานในแต่ละอุตสาหกรรม หรือข้อกำหนดด้านกฎระเบียบ เพื่อให้มั่นใจว่าระบบสอดคล้องกับกระบวนการทางธุรกิจที่ไม่เหมือนใคร
การผสานรวมกับระบบภายนอก
API และการผสานรวมกับระบบภายนอก: ระบบ ERP สามารถผสานรวมกับแอปพลิเคชันอื่น ๆ เช่น เครื่องมือ CRM แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ และซอฟต์แวร์เฉพาะทาง ผ่านทาง API (Application Programming Interfaces)
การส่งผ่านข้อมูลอย่างราบรื่น: การผสานรวมเหล่านี้ช่วยให้ข้อมูลไหลเวียนระหว่างระบบ ERP และระบบภายนอกได้โดยอัตโนมัติ ลดความจำเป็น ในการป้อนข้อมูลด้วยมือ และทำให้ข้อมูลเป็นปัจจุบันในทุกแพลตฟอร์มอย่างต่อเนื่อง
ฐานข้อมูลแบบศูนย์กลาง
แกนหลักของ ERP: ระบบ ERP ใช้ฐานข้อมูลแบบศูนย์กลางที่จัดเก็บข้อมูลจากหลากหลายแผนก เช่น การเงิน ทรัพยากรบุคคล การขาย การจัดซื้อ สินค้าคงคลัง และอื่น ๆ
แหล่งข้อมูลเดียวที่เชื่อถือได้: ฐานข้อมูลศูนย์กลางนี้ช่วยให้ทุกแผนกสามารถเข้าถึงข้อมูลที่สอดคล้องและเป็นปัจจุบัน ลดปัญหาข้อมูลแยกส่วนและความคลาดเคลื่อนของข้อมูล
โมดูลที่ผสานรวม
สำหรับฟังก์ชันทางธุรกิจ
โครงสร้างแบบโมดูล: ระบบ ERP มีโครงสร้างแบบโมดูล โดยที่แต่ละโมดูลมุ่งเน้นไปที่ฟังก์ชันเฉพาะของธุรกิจ (เช่น การบัญชี การจัดการสินค้าคงคลัง หรือ CRM) ธุรกิจสามารถเลือกและกำหนดค่าโมดูลต่าง ๆ ได้ตามความต้องการของตน
ขั้นตอนการทำงานที่เชื่อมโยงกัน: โมดูลเหล่านี้เชื่อมโยงถึงกัน ซึ่งหมายความว่าข้อมูลสามารถไหลผ่านระหว่างฟังก์ชันต่าง ๆ ได้อย่างราบรื่น ตัวอย่างเช่น การสั่งซื้อสินค้าจากการขายจะอัปเดตระดับสินค้าคงคลังโดยอัตโนมัติ และสร้างใบแจ้งหนี้ในระบบบัญชีทันที
กระบวนการ
อัตโนมัติ
การทำให้เป็นมาตรฐานและระบบอัตโนมัติ: ระบบ ERP ช่วยกำหนดมาตรฐานและทำให้งานที่ทำซ้ำ ๆ เป็นอัตโนมัติ เช่น การประมวลผลคำสั่งซื้อ การออกใบแจ้งหนี้ การจัดการสินค้าคงคลัง และการจ่ายเงินเดือน สิ่งนี้ช่วยลดข้อผิดพลาดที่เกิดจากมนุษย์และเพิ่มความเร็วในการทำงาน
การจัดการขั้นตอนการทำงาน: ขั้นตอนการทำงานอัตโนมัติจะนำทางงานต่างๆ ผ่านขั้นตอนที่กำหนดไว้ล่วงหน้า เพื่อให้มั่นใจว่างานจะเสร็จสมบูรณ์ ตามลำดับที่ถูกต้อง ตัวอย่างเช่น ขั้นตอนการสั่งซื้อ อาจเริ่มต้นด้วยการป้อนคำสั่งซื้อของลูกค้า จากนั้น ไปที่การตรวจสอบสินค้าคงคลัง ต่อด้วยการจัดส่ง และสุดท้ายคือการออกใบแจ้งหนี้
ข้อมูลและรายงาน
แบบเรียลไทม์
การอัปเดตแบบทันที: การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในส่วนหนึ่งของระบบ ERP จะสะท้อนผลไปยังโมดูลที่เกี่ยวข้องทั้งหมด แบบเรียลไทม์ ตัวอย่างเช่น เมื่อมีการจัดส่งสินค้า ระดับสินค้าคงคลังจะได้รับการปรับโดยทันที และข้อมูลการเงินจะได้รับการอัปเดตสำหรับการรายงานรายได้
การวิเคราะห์ข้อมูล: ระบบ ERP มีเครื่องมือการรายงานและการวิเคราะห์ในตัวที่ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับตัวชี้วัดประสิทธิภาพ เช่น ยอดขาย การหมุนเวียนสินค้าคงคลัง และกระแสเงินสด ข้อมูลนี้ช่วยให้ผู้ตัดสินใจเข้าใจแนวโน้ม ติดตาม KPI และตัดสินใจอย่างรอบรู้
การทำงานร่วมกัน
ระหว่างแผนก
การสื่อสารที่ดีขึ้น: ด้วยการรวมแผนกต่าง ๆ เข้าด้วยกันในระบบเดียว ERP ช่วยส่งเสริมการทำงานร่วมกันที่ดีขึ้น สมาชิกทีมจากฟังก์ชันต่าง ๆ สามารถเข้าถึงข้อมูลที่พวกเขาต้องการได้ง่าย และสามารถประสานงานกับแผนกอื่นได้อย่างราบรื่น
การมองเห็นข้อมูลที่ชัดเจนยิ่งขึ้น: ผู้จัดการและพนักงานสามารถมองเห็นกิจกรรมระหว่างแผนกได้ ทำให้ง่ายต่อการร่วมมือในโครงการต่าง ๆ ติดตามคำสั่งซื้อ และกำหนดเป้าหมายให้สอดคล้องกัน
ความปลอดภัยของข้อมูล
และการควบคุมการเข้าถึง
การเข้าถึงตามบทบาท: ระบบ ERP มีการควบคุมการเข้าถึงตามบทบาทหน้าที่ (Role-Based Access Control) ทำให้มั่นใจว่าพนักงานสามารถ เข้าถึงเฉพาะข้อมูล ที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่การทำงานของตนเท่านั้น
ความสมบูรณ์และความปลอดภัยของข้อมูล: ข้อมูลที่สำคัญจะได้รับการปกป้อง ด้วยการเข้ารหัสข้อมูล การยืนยันตัวตนของผู้ใช้งาน และความสามารถในการตรวจสอบ เพื่อให้มั่นใจว่าเป็นไปตามข้อกำหนดด้านการคุ้มครองข้อมูล
การขยายระบบ
และการปรับแต่ง
ความยืดหยุ่นและปรับขนาดได้: ระบบ ERP ถูกออกแบบมาเพื่อปรับขยายตามการเติบโตของธุรกิจ ช่วยให้สามารถเพิ่มผู้ใช้งาน โมดูล หรือฟีเจอร์ใหม่ ๆ ได้ตามความต้องการของบริษัทที่เพิ่มขึ้น
ตัวเลือกการปรับแต่ง: โซลูชัน ERP สามารถปรับแต่งปรับแต่งให้เหมาะกับความต้องการเฉพาะของกระบวนการทำงานอุตสาหกรรม หรือข้อกำหนดด้านกฎระเบียบ เพื่อให้มั่นใจว่าระบบสอดคล้องกับกระบวนการทางธุรกิจที่ไม่เหมือนใคร
การผสานรวม
กับระบบภายนอก
API และการผสานรวมกับระบบภายนอก: ระบบ ERP สามารถผสานรวมกับแอปพลิเคชันอื่น ๆ เช่น เครื่องมือ CRM แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ และซอฟต์แวร์เฉพาะทาง ผ่านทาง API (Application Programming Interfaces)
การส่งผ่านข้อมูลอย่างราบรื่น: การผสานรวมเหล่านี้ช่วยให้ข้อมูลไหลเวียนระหว่างระบบ ERP และระบบภายนอกได้โดยอัตโนมัติ ลดความจำเป็น ในการป้อนข้อมูลด้วยมือ และทำให้ข้อมูลเป็นปัจจุบันในทุกแพลตฟอร์มอย่างต่อเนื่อง
ตัวอย่างการทำงานของระบบ ERP ในทางปฏิบัติ
มาลองพิจารณาตัวอย่างการทำงานของระบบ ERP ในบริษัทค้าปลีกกัน
-
การสั่งซื้อสินค้า
ลูกค้าสั่งซื้อสินค้าผ่านเว็บไซต์ของบริษัท โมดูลการขายของระบบ ERP จะบันทึกคำสั่งซื้อนี้ และทำการส่งต่อโดยอัตโนมัติ
-
การจัดการในคลังสินค้า
ทีมคลังสินค้าจะได้รับการแจ้งเตือนในระบบ ERP ให้หยิบ แพ็ค และจัดส่งสินค้า ตามคำสั่งซื้อ
-
การออกใบแจ้งหนี้และการบัญชี
ระบบ ERP จะสร้างใบแจ้งหนี้โดยอัตโนมัติ ส่งไปยังลูกค้า และอัปเดตบัญชีลูกหนี้
-
การตรวจสอบสินค้าคงคลัง
ระบบจะตรวจสอบสินค้าคงคลังโดยอัตโนมัติเพื่อดูว่าสินค้ามีอยู่ในสต็อกหรือไม่ หากสินค้ามีอยู่ ระบบ ERP จะอัปเดตจำนวนสินค้าคงคลัง
-
การจัดส่งและติดตามพัสดุ
รายละเอียดการจัดส่งจะถูกบันทึกไว้ และลูกค้าจะได้รับข้อมูลการติดตามพัสดุ
-
การรายงาน
ข้อมูลการขายจะได้รับการอัปเดตแบบเรียลไทม์ ทีมการเงินสามารถตรวจสอบ รายได้และอัตรากำไรได้ทันที
ประโยชน์ของระบบ ERP
-
ประสิทธิภาพ
ด้วยการทำงานอัตโนมัติ ระบบ ERP ช่วยลดงานที่ต้องทำด้วยมือ และปรับปรุง กระบวนการทำงานให้มีความลื่นไหลยิ่งขึ้น
-
การประหยัดต้นทุน
ระบบ ERP ช่วยลดความซ้ำซ้อน ปรับปรุงการจัดการสินค้าคงคลัง และลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน
-
การตัดสินใจที่ดีขึ้น
ข้อมูลและการวิเคราะห์แบบเรียลไทม์ ช่วยให้ผู้บริหารสามารถตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง บนพื้นฐานข้อมูลที่เหมาะสมและทันเวลา
-
การทำงานร่วมกันที่ดีขึ้น
ระบบ ERP มอบการมองเห็นข้อมูลข้ามแผนก ส่งเสริมการสื่อสารและการทำงาน เป็นทีมที่มีประสิทธิภาพ
กล่าวโดยสรุปคือ ระบบ ERP ทำหน้าที่เป็นแกนหลักของธุรกิจ เชื่อมโยงแผนกต่าง ๆ ทำให้งานเป็นระบบอัตโนมัติ และมอบมุมมองแบบครบวงจรเกี่ยวกับการดำเนินงาน การผสานรวมและระบบอัตโนมัตินี้ช่วยให้บริษัทเพิ่มประสิทธิภาพ ลดข้อผิดพลาด และตัดสินใจโดยอ้างอิงจากข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การเลือก ERP ที่ดีที่สุด
การเลือกระบบ ERP ที่ดีที่สุดสำหรับธุรกิจของคุณ จำเป็นต้องมีการประเมินความต้องการของบริษัท เป้าหมายการเติบโต และความสามารถของโซลูชัน ERP ที่แตกต่างกันอย่างละเอียด
ต่อไปนี้คือคำแนะนำทีละขั้นตอนเพื่อช่วยให้คุณเลือกระบบ ERP ที่เหมาะสม
1. กำหนดความต้องการทางธุรกิจของคุณ
ประเมินความท้าทายปัจจุบัน: ระบุจุดที่เป็นปัญหาและความไม่มีประสิทธิภาพ ในกระบวนการปัจจุบันของคุณ พิจารณาปัญหาในด้านต่างๆ เช่น การบัญชี สินค้าคงคลัง supply chain การจัดการลูกค้า และการรายงาน
กำหนดเป้าหมาย: ระบุสิ่งที่คุณหวังว่าจะได้รับจากระบบ ERP เช่น ความแม่นยำ ของข้อมูลที่ดีขึ้น กระบวนการที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น การรายงานแบบเรียลไทม์ หรือการรองรับการเติบโต
จัดทำรายการความต้องการเฉพาะ: ทำรายการคุณสมบัติและฟังก์ชันที่จำเป็นต้องมี ซึ่งปรับให้เข้ากับความต้องการทางธุรกิจของคุณ ซึ่งอาจรวมถึงการรองรับ หลายสกุลเงิน ความต้องการด้านการปฏิบัติตามกฎระเบียบเฉพาะ หรือการเชื่อมต่อ กับระบบอื่นๆ ที่คุณใช้
2. รวมผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเข้ามาในกระบวนการ
รวบรวมข้อมูล: นำตัวแทนจากแผนกต่าง ๆ (เช่น การเงิน การขาย การดำเนินงาน ทรัพยากรบุคคล) เข้ามามีส่วนร่วม เพื่อให้มั่นใจว่าระบบ ERP สามารถตอบสนอง ความต้องการของแต่ละแผนกได้
จัดตั้งทีมโครงการ: กำหนดทีมโครงการเพื่อเป็นผู้นำในกระบวนการคัดเลือกระบบ ERP ทีมนี้จะช่วยประเมินตัวเลือกต่าง ๆ และประสานความคิดเห็นจากแต่ละแผนก ให้สอดคล้องกัน
3. พิจารณาโซลูชัน ERP ที่ออกแบบมาเฉพาะ สำหรับอุตสาหกรรม
ระบบ ERP จำนวนมากถูกออกแบบมาเพื่ออุตสาหกรรมเฉพาะ เช่น การผลิต ค้าปลีก การดูแลสุขภาพ หรือการให้บริการ ระบบ ERP ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับอุตสาหกรรม จะมาพร้อมกับฟีเจอร์ที่ปรับแต่งไว้แล้ว ซึ่งช่วยลดเวลาในการปรับแต่งเพิ่มเติม
ศึกษาค้นคว้าว่าระบบ ERP ใดที่เป็นที่นิยม น่าเชื่อถือ และมีประสิทธิภาพในอุตสาหกรรมของคุณ
4. ประเมินฟังก์ชันการทำงานของ ERP
ข้อมูล และการรายงาน
ฟังก์ชันการทำงานหลัก: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าระบบ ERP ครอบคลุมฟังก์ชันที่จำเป็น ทั้งหมด เช่น การเงิน สินค้าคงคลัง การจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้า (CRM) และทรัพยากรบุคคล (HR)
ฟีเจอร์ขั้นสูง: มองหาฟีเจอร์เพิ่มเติมที่สอดคล้องกับเป้าหมายธุรกิจของคุณ เช่น การวิเคราะห์ข้อมูลด้วย AI ระบบอัตโนมัติ และการเข้าถึงผ่านมือถือ
ความสามารถในการปรับขยาย: เลือกระบบ ERP ที่สามารถเติบโตไปพร้อมกับธุรกิจคุณ ช่วยให้คุณสามารถเพิ่มผู้ใช้งาน โมดูล หรือฟีเจอร์เพิ่มเติมได้ตามความต้องการ
5. ประเมินความสามารถในการรวมระบบ
ความเข้ากันได้กับระบบที่มีอยู่: หากคุณใช้งานซอฟต์แวร์อื่นอยู่แล้ว เช่น CRM อีคอมเมิร์ซ หรือระบบจ่ายเงินเดือน ตรวจสอบให้แน่ใจว่าระบบ ERP ที่คุณเลือกสามารถรวมกับระบบเหล่านี้ได้อยางราบรื่น
ความพร้อมใช้งานของ API: ระบบ ERP ที่ยืดหยุ่นควรมี API (Application Programming Interfaces) ซึ่งช่วยให้การแลกเปลี่ยนข้อมูลและการเชื่อมต่อ กับแอปพลิเคชันอื่น เป็นไปได้อย่างง่ายดาย
6. พิจารณาการใช้งานระบบ ERP บนคลาวด์ (On-Cloud) กับแบบติดตั้งในสถานที่ (On-premise)
ERP บนคลาวด์: ให้ความยืดหยุ่น ปรับขยายได้ และเข้าถึงระยะไกล เหมาะสำหรับธุรกิจ ที่มีทีมงานกระจายตัวในหลายสถานที่ หลายประเทศ นอกจากนี้ยังช่วยลดความจำเป็น ในการบำรุงรักษาด้าน IT จากภายในองค์กร
ERP แบบติดตั้งในองค์กร: ให้การควบคุมข้อมูลและการปรับแต่งได้มากกว่า แต่ต้องการโครงสร้างพื้นฐานด้าน IT และทรัพยากรมากขึ้นสำหรับการดูแลรักษา
ตัวเลือกแบบไฮบริด: ERP บางระบบมีตัวเลือกแบบไฮบริด ที่ช่วยให้คุณจัดเก็บ ข้อมูลบางส่วนไว้ในองค์กร ในขณะที่ยังคงใช้งานฟีเจอร์บนคลาวด์ได้
7. ประเมินประสบการณ์ผู้ใช้ และความง่ายในการใช้งาน
ส่วนติดต่อผู้ใช้และการใช้งาน: เลือกระบบที่ใช้งานง่ายและเป็นมิตรต่อผู้ใช้ เพื่อลดระยะเวลาในการเรียนรู้สำหรับทีมงานของคุณ
การเข้าถึงผ่านมือถือ: หากทีมของคุณต้องการเข้าถึงระบบขณะเดินทาง ตรวจสอบให้แน่ใจว่าระบบ ERP มีอินเทอร์เฟซที่รองรับการใช้งานบนมือถือ หรือมีแอปพลิเคชันสำหรับมือถือโดยเฉพาะ
8. ตรวจสอบชื่อเสียงและการสนับสนุน จากผู้ให้บริการ
ประวัติผู้ให้บริการ: ศึกษาเกี่ยวกับชื่อเสียงของผู้ให้บริการ, รีวิวจากลูกค้า, และประสบการณ์ในอุตสาหกรรม
การสนับสนุนลูกค้า: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าผู้ให้บริการ ERP มีการสนับสนุนที่เชื่อถือได้ รวมถึงความช่วยเหลือในการติดตั้ง การสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง และทรัพยากรสำหรับ การฝึกอบรม
ชุมชนและทรัพยากร: ระบบ ERP บางระบบมีชุมชนที่แข็งแกร่งและฐานข้อมูลความรู้ ที่เป็นประโยชน์สำหรับการแก้ไขปัญหาและการใช้งานที่ดีที่สุด
9. คำนวณต้นทุนรวมในการเป็นเจ้าของ (TCO)
ต้นทุนเริ่มต้น: พิจารณาต้นทุนเริ่มต้นของซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ (ในกรณีที่ใช้งานแบบ On-Premise) และค่าใช้จ่ายในการติดตั้งระบบ
ต้นทุนต่อเนื่อง: รวมถึงค่าธรรมเนียมการสมัครสมาชิก (สำหรับ ERP บนคลาวด์) ค่าบำรุงรักษา การอัปเกรด การฝึกอบรม และการสนับสนุน
ROI: ประเมินว่าระบบ ERP จะช่วยให้เกิดผลตอบแทนจากการลงทุนได้อย่างไร เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพ ลดค่าใช้จ่าย หรือเพิ่มรายได้
10. ขอ Demo และช่วงทดลองใช้
ขอ Demo: ขอเดโมของระบบ ERP ที่คัดเลือกไว้ เพื่อดูว่าระบบเหล่านี้จัดการกับ สถานการณ์ทางธุรกิจเฉพาะได้อย่างไร
ช่วงทดลองใช้งาน: หากเป็นไปได้ ให้จัดช่วงทดลองใช้งานเพื่อทดสอบระบบด้วยข้อมูล และกระบวนการทำงานจริง สิ่งนี้จะช่วยให้คุณได้รับประสบการณ์การใช้งานจริง และประเมินการยอมรับจากผู้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
11. อ่านรีวิวและกรณีศึกษา
รีวิวจากผู้ใช้งาน: ตรวจสอบรีวิวบนเว็บไซต์ เช่น G2, Capterra และ Gartner เพื่อดูว่าธุรกิจอื่น ๆ ในอุตสาหกรรมของคุณคิดอย่างไรเกี่ยวกับ ERP แต่ละตัว
กรณีศึกษาและการอ้างอิง: ขอกรณีศึกษาหรือข้อมูลอ้างอิงจากผู้ให้บริการ เพื่อแสดงให้เห็นว่าระบบ ERP ของพวกเขาช่วยธุรกิจที่คล้ายกับของคุณได้อย่างไร
12. ตัดสินใจขั้นสุดท้าย
ใช้ระบบการให้คะแนนเพื่อลำดับความสำคัญของโซลูชัน ERP โดยพิจารณาจากฟังก์ชัน การใช้งาน ความง่ายในการใช้งาน ค่าใช้จ่าย การสนับสนุน และที่สำคัญคือความเป็นมืออาชีพของผู้ให้บริการที่ปรึกษา
พิจารณาความคิดเห็นจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด เพื่อการตัดสินใจที่รอบด้าน และเหมาะสมที่สุด
ระบบ ERP นำไปใช้งานยังไง?
โซลูชัน ERP ที่คุณต้องการ
เราเข้าใจว่าทุกธุรกิจมีความต้องการที่แตกต่างกัน ซึ่งได้รับอิทธิพลจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น อุตสาหกรรม ขนาด และสภาพตลาด เราจึงนำเสนอโซลูชัน ERP ที่น่าเชื่อถือ พร้อมการปรับแต่งได้ให้เหมาะกับธุรกิจของคุณ เพื่อให้ตรงกับความต้องการเฉพาะของคุณ เรามีทีมงานมืออาชีพ พร้อมให้คำปรึกษา ช่วยคุณวิเคราะห์ และนำเสนอโซลูชันที่เหมาะสม
Jcurve เป็นผู้ให้บริการติดตั้ง NetSuite ERP จาก Oracle มากว่า 10 ปี ด้วยทีมงานที่เชี่ยวชาญ หากต้องการทราบว่า Jcurve สามารถช่วยยกระดับการดำเนินธุรกิจของคุณได้อย่างไรติดต่อเราวันนี้ เราพร้อมให้ความช่วยเหลือคุณในทุกขั้นตอน
ทีมที่ปรึกษาของเราพร้อมช่วยเหลือคุณ
ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นปรับปรุงการดำเนินงาน และนำระบบ ERP เข้ามาใช้อย่างไรใช่หรือไม่?
ไม่ต้องกังวล เราช่วยคุณได้ ทีมที่ปรึกษาของเราสามารถช่วยคุณออกแบบกระบวนการใหม่และปรับปรุงธุรกิจของคุณ ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เราช่วยรวมผู้คน เทคโนโลยี และกระบวนการเข้าไว้ในโซลูชันเดียว พร้อมช่วยขจัดกระบวนการที่ไม่มีประสิทธิภาพ เมื่อคุณเลือกใช้บริการจาก Jcurve ทีมที่ปรึกษาของเราจะช่วยประเมินรูปแบบการดำเนินงานปัจจุบัน และแนะนำแนวทางปรับปรุง และโซลูชันที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณ เราจะพิจารณาทุกอย่างตั้งแต่เวิร์กโฟลว์ ไปจนถึงโครงสร้างข้อมูล และแนะนำวิธีที่เหมาะสมที่สุดในการก้าวไปสู่รูปแบบที่ดียิ่งขึ้น เป้าหมายของเราคือการช่วยให้ธุรกิจของคุณพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เตรียมพร้อมรับมือกับอนาคต และช่วยให้ธุรกิจของคุณก้าวสู่ศักยภาพสูงสุด
เริ่มต้นกับเราวันนี้!!
ให้ Jcurve ช่วยคุณผลักธุรกิจให้เติบโต และปลดปล่อย ศักยภาพสูงสุดของธุรกิจด้วยโซลูชัน NetSuite ERP อันทรงพลัง ที่เราปรับแต่งให้เหมาะกับธุรกิจคุณ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ การดำเนินงานและผลักดันความสามารถในการทำกำไรให้กับคุณ
ติดต่อทีมงานของเราวันนี้เพื่อค้นพบว่า Oracle NetSuite จะสามารถช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโต และสอดคล้องกับเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ได้อย่างไร
เริ่มต้นกับเราวันนี้!
ให้ Jcurve ช่วยผลักดันความทะเยอทะยาน และปลดปล่อย ศักยภาพสูงสุดของธุรกิจด้วยโซลูชัน ERP อันทรงพลัง ที่เราปรับแต่งอย่างพิถีพิถัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ การดำเนินงานและผลักดันความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจคุณ
ติดต่อทีมงานของเราวันนี้เพื่อค้นพบว่า Jcurve ERP และ Oracle NetSuite สามารถช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโต และสอดคล้องกับเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ได้อย่างไร
ผู้ให้บริการโซลูชัน Cloud ERP เจ้าของรางวัลความสำเร็จ จากการใช้งาน ของลูกค้ากว่า 1,000 ราย ในออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
โซลูชันบนระบบคลาวด์ของเรา ซึ่งขับเคลื่อนด้วย Oracle NetSuite มอบแพลตฟอร์ม ERP ที่เหมาะสำหรับธุรกิจทุกขนาด
ปรับปรุงกระบวนการทางธุรกิจของคุณ ให้มีประสิทธิภาพด้วยแพลตฟอร์ม ERP แบบครบวงจร
เป้าหมายของเราคือการรวมข้อมูลธุรกิจทั้งหมดของคุณไว้ในแอปพลิเคชันเดียวที่อัปเดตอยู่เสมอ ช่วยให้ทีมงานของคุณสามารถตัดสินใจได้รวดเร็ว และสอดคล้องกับความต้องการทางธุรกิจ
โซลูชันของเรา
Oracle NetSuite
Jcurve เสนอ NetSuite ERP ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มซอฟต์แวร์ บนระบบคลาวด์ ช่วยให้ธุรกิจสามารถจัดการการดำเนินงาน ที่หลากหลาย เช่น การเงิน, การจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้า, การจัดการซัพพลายเชน, และอื่นๆ อีกมากมาย
Jcurve ERP
Jcurve ERP เป็นโซลูชัน ERP บนคลาวด์ที่ออกแบบมาเพื่อ ตอบสนองความต้องการของธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง โดยเป็นแพลตฟอร์มครบวงจรสำหรับการจัดการการดำเนินงาน และกระบวนการทางธุรกิจ
(ให้บริการเฉพาะออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์)
ที่ Jcurve เราสร้างความร่วมมือที่ช่วยให้ผู้คนและธุรกิจเติบโต เราปรารถนาที่จะเป็นผู้นำในการสร้างการเชื่อมโยงเป้าหมายในการเติบโตในธุรกิจของคุณ กรุณาฝากรายละเอียดของคุณไว้ แล้วเราจะติดต่อกลับเพื่อหารือและช่วยเหลือคุณเพื่อนำเทคโนโลยีไปใช้ในการสร้างธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ